ธนาคารและสถาบันการเงินใหญ่ๆ มีการจัดทำบทความอธิบายถึงรูปแบบเศรษฐกิจ อธิบายถึงวิธีการทำงานของเศรษฐกิจ FED (ธนาคารกลางสหรัฐฯ) เองก็มีการนำเสนอรูปแบบเศรษฐกิจที่มีทฤษฎีรองรับ เป็นรูปแบบที่ทันสมัย มีเหตุมีผลตามหลักการเงินและเศรษฐศาสตร์เช่นกัน
แต่เมื่อเวลาผ่านไป รูปแบบเศรษฐกิจของ FED กลับพังทลายลง มันถูกพิสูจน์ว่าไม่เป็นจริงผ่านเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ปี 2008
JP Morgan สถาบันการเงินชื่อดังและ IMF กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ก็ล้มเหลวในลักษณะนี้เช่นกัน
แต่รูปแบบเศรษฐกิจที่เรากำลังอ่านอยู่นี้ยังคงเป็นจริง และสามารถผ่านวิกฤตเศรษฐกิจเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ถูกจัดทำโดย Ray Dalio ซึ่งได้พูดถึงเค้าไปแล้วในตอนที่ 1
เราได้รู้จักกับแรงขับของเศรษฐกิจไปแล้ว 2 แรง นั่นคือ Productivity Growth และ Short-Term Debt Cycle จากตอนที่ 1 ถ้าใครยังไม่ได้อ่านละก็ ขอแนะนำให้กดลิงค์ข้างล่างนี้เข้าไปอ่านก่อน เพื่อสร้างความเข้าใจพื้นฐาน ไม่งั้นแล้วหลังจากบรรทัดนี้ คงจะอ่านไม่รู้เรื่อง ใช้เวลาไม่นานและเข้าใจไม่ยากครับ
JP Morgan สถาบันการเงินชื่อดังและ IMF กองทุนการเงินระหว่างประเทศ ก็ล้มเหลวในลักษณะนี้เช่นกัน
5. ธรรมชาติของมนุษย์ทำให้เกิดอีกวัฎจักรหนึ่ง
หากเราย้อนกลับไปดูเรื่องวัฎจักรหนี้ระยะสั้น (Short-term Debt Cycle) ที่การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจมีการขึ้นและลงเป็นรอบๆ ทุก 5-8 ปี การขึ้นและลงของมันนั้น จะไม่ได้ขึ้นและลงด้วยจำนวนที่เท่าๆ กัน แต่เศรษฐกิจจะเจริญเติบโตขึ้นมากกว่าวัฎจักรรอบที่แล้ว เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเพราะธรรมชาติของมนุษย์ชอบที่จะกู้ยืมและใช้เงิน มากกว่าการชำระหนี้นั่นเอง
จำคำสำคัญในตอนที่ 1 ข้อที่ 1 ไว้ว่า การใช้จ่ายเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบกู้ยืมเงินมากกว่าการจ่ายหนี้จึงทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ทำให้มีหนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน (ดูรูปประกอบ เส้นที่เป็นคลื่นนั่นคือการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจตามวัฎจักรหนี้ระยะสั้น ถึงแม้ว่าจะขึ้นและลงตลอด แต่ตอนขึ้นมันขึ้นมากกว่าตอนลง โดยเฉลี่ยเลยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ)
ด้วยเหตุผลที่กล่าวนี้ ทำให้ในระยะยาว หนี้สินจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราเรียกสิ่งนี้ว่า วัฎจักรหนี้ระยะยาว (Long-term Debt Cycle) มันมีลักษณะอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจในวัฎจักรนี้บ้าง จะอธิบายในข้อถัดไป
ถึงแม้ว่าหนี้ของแต่ละคนจะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ รายรับของพวกเค้าก็เพิ่มตาม ทำให้ภาระหนี้สินยังสามารถจัดการได้ นอกจากรายรับที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของสินทรัพย์ที่ครอบครองอยู่ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือราคาบ้านต่างก็ขึ้น ช่วยถ่วงดุลกับภาระหนี้สินที่มี คนที่มีรายรับมากและครอบครองสินทรัพย์ราคาสูง ถึงแม้จะมีหนี้สินมาก ก็ยังถือว่าอยู่สถานะที่สามารถกู้ยืมเงินได้ (Creditworthy)


จำคำสำคัญในตอนที่ 1 ข้อที่ 1 ไว้ว่า การใช้จ่ายเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบกู้ยืมเงินมากกว่าการจ่ายหนี้จึงทำให้เศรษฐกิจเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็ทำให้มีหนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน (ดูรูปประกอบ เส้นที่เป็นคลื่นนั่นคือการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจตามวัฎจักรหนี้ระยะสั้น ถึงแม้ว่าจะขึ้นและลงตลอด แต่ตอนขึ้นมันขึ้นมากกว่าตอนลง โดยเฉลี่ยเลยเติบโตขึ้นเรื่อยๆ)
ด้วยเหตุผลที่กล่าวนี้ ทำให้ในระยะยาว หนี้สินจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เราเรียกสิ่งนี้ว่า วัฎจักรหนี้ระยะยาว (Long-term Debt Cycle) มันมีลักษณะอย่างไร? เกิดอะไรขึ้นกับเศรษฐกิจในวัฎจักรนี้บ้าง จะอธิบายในข้อถัดไป
6. ความสุขในช่วงขาขึ้นของวัฎจักรหนี้ระยะยาว (Long-term Debt Cycle)
จากที่บอกไว้ว่าธรรมชาติมนุษย์ก่อให้เกิดการเจริญเติบโตของเศรษฐกิจ แต่ก็ทำให้เกิดหนี้พอกพูนขึ้นเรื่อยๆ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ทุกคนจะมีหนี้ติดตัวเพิ่มขึ้น ผู้ให้กู้ยืมเงินก็ยังคงยินดีปล่อยให้มีการกู้ยืมเงินได้สบายๆ ทำไมล่ะ?
ทุกคนต่างสนใจแค่ว่าเศรษฐกิจช่วงนี้มันกำลังเติบโต รายรับก็มากขึ้น ราคาสินทรัพย์อย่างบ้านหรือคอนโดก็ขึ้น หุ้นก็ขึ้นเอาขึ้นเอา เศรษฐกิจมันกำลังบูม ทุกคนต่างใช้เงินที่กู้ยืมมาซื้อสิ่งต่างๆ ทั้งสินค้าและบริการ จนกระทั่งลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ต่างๆ การใช้เงินที่กู้ยืมมาในลักษณะนี้ เราเรียกมันว่า ฟองสบู่ นั่นเอง
ถึงแม้ว่าหนี้ของแต่ละคนจะพอกพูนขึ้นเรื่อยๆ รายรับของพวกเค้าก็เพิ่มตาม ทำให้ภาระหนี้สินยังสามารถจัดการได้ นอกจากรายรับที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาของสินทรัพย์ที่ครอบครองอยู่ไม่ว่าจะเป็นหุ้นหรือราคาบ้านต่างก็ขึ้น ช่วยถ่วงดุลกับภาระหนี้สินที่มี คนที่มีรายรับมากและครอบครองสินทรัพย์ราคาสูง ถึงแม้จะมีหนี้สินมาก ก็ยังถือว่าอยู่สถานะที่สามารถกู้ยืมเงินได้ (Creditworthy)
แต่มันไม่สามารถเป็นแบบนี้ได้ตลอดไป
7. ความเจ็บปวดในช่วงขาลง
เมื่อเวลาผ่านไป หนี้สินจะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนถึงจุดๆ หนึ่ง ภาระหนี้สินที่จะต้องจ่ายคืนจะเพิ่มขึ้นจนรายรับเพิ่มตามไม่ทัน ทุกคนจำเป็นต้องเจียดเงินไปใช้หนี้ ทำให้มีเงินไปใช้จ่ายกันน้อยลง และย้อนกลับไปยังสิ่งที่ได้กล่าวไว้ในตอนที่ 1 เลย ที่ว่า การใช้จ่ายของคนหนึ่งจะเป็นรายรับของอีกคนหนึ่ง ทุกอย่างจึงถูกกระทบทันทีเมื่อการใช้จ่ายลดลง
ก่อนหน้านี้เป็นช่วงขาขึ้นของวัฎจักรหนี้ระยะยาว ต่อจากนี้จะเป็นช่วงขาลงแล้ว
เหตุการณ์ช่วงขาลงนี้ มีชื่อเรียกที่เราได้ยินกันบ่อยว่า ฟองสบู่แตก
เหตุการณ์ช่วงขาลงนี้ มีชื่อเรียกที่เราได้ยินกันบ่อยว่า ฟองสบู่แตก


สุดท้ายแล้วหนี้สินที่พอกพูนขึ้นต้องมีจุดที่ต้องหยุดและแก้ไข สหรัฐอเมริกา, ยุโรปและอีกหลายๆ ประเทศได้มาถึงจุดสูงสุดนี้ในปี 2008 และเคยเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นไปแล้วในปี 1989 เมื่อถึงจุดนี้แล้ว เศรษฐกิจจะมาถึงภาวะที่ต้องลดหนี้สินลง ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Deleveraging
เหตุการณ์ที่เล่ามาทั้งหมดตั้งแต่ข้อ 5 นี้เป็นวัฎจักรหนี้ระยะยาว (Long-term Debt Cycle) มีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลง ชี้วัดด้วยจำนวนหนี้สิน วัฎจักรหนี้ระยะยาวนี้กินเวลาราว 75-100 ปี ถือว่าใช้เวลานานพอสมควรกว่าหนี้จะทับถมจนสร้างปัญหา
ในภาวะที่หนี้สินมากเกินไป หรือ Deleveraging ทุกคนจำเป็นต้องลดรายจ่ายลง รายรับก็ลดลงตาม ไม่มีเครดิตให้กู้ยืมอีกต่อไป ราคาสินทรัพย์อย่างบ้านหรือคอนโดก็ตกลง ธนาคารถูกบีบจากผู้ฝากและผู้กู้เงิน ตลาดหุ้นพังทลาย จนอาจเกิดความตึงเครียดในสังคม
ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมีที่มาที่ไปครับ จากที่เล่าไว้ข้างบนว่า ทุกคนต้องจ่ายหนี้เพิ่ม ทำให้เหลือเงินไปจ่ายน้อยลง
ใช้จ่ายกันน้อยลง รายรับก็น้อยลงตาม
รายรับน้อยบวกกับหนี้เยอะ ทำให้ทุกคนไม่สามารถกู้เงินได้ (Not Creditworthy) อีกต่อไป
เมื่อไม่สามารถกู้เงินมาจ่ายหนี้ได้อีกต่อไป จะทำไงดีล่ะ?
ใช้จ่ายกันน้อยลง รายรับก็น้อยลงตาม
รายรับน้อยบวกกับหนี้เยอะ ทำให้ทุกคนไม่สามารถกู้เงินได้ (Not Creditworthy) อีกต่อไป
เมื่อไม่สามารถกู้เงินมาจ่ายหนี้ได้อีกต่อไป จะทำไงดีล่ะ?
คนส่วนใหญ่ในช่วงขาขึ้นที่ผ่านมาจะลงทุนซื้อสินทรัพย์ (หรือฟองสบู่) เอาไว้
และเพื่อที่จะจ่ายหนี้ที่มีนี้ ทุกคนถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เหล่านี้
แต่การเร่งรีบขายสินทรัพย์ในช่วงขาลงของวัฎจักรหนี้ระยะยาวนี้ มันให้ทำล้นตลาด เมื่อผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ ราคามันเลยตกฮวบฮาบ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่ตลาดหุ้นพังทลายลง
สินทรัพย์ราคาลดลงแบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้ครอบครองนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือพอที่จะกู้เงินมากเข้าไปอีก
และเพื่อที่จะจ่ายหนี้ที่มีนี้ ทุกคนถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เหล่านี้
แต่การเร่งรีบขายสินทรัพย์ในช่วงขาลงของวัฎจักรหนี้ระยะยาวนี้ มันให้ทำล้นตลาด เมื่อผู้ขายมากกว่าผู้ซื้อ ราคามันเลยตกฮวบฮาบ
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นตอนที่ตลาดหุ้นพังทลายลง
สินทรัพย์ราคาลดลงแบบนี้ ยิ่งทำให้ผู้ครอบครองนั้นไม่มีความน่าเชื่อถือพอที่จะกู้เงินมากเข้าไปอีก
การใช้จ่ายลด > รายรับลด > ความมั่งคั่งลด > เครดิตลด > การกู้ยืมลด แล้วก็ย้อนกลับไปที่การใช้จ่ายลดลง ต่อเนื่องกันไป
ถ้ายังจำในตอนที่ 1 กันได้ สถานการณ์แบบนี้ มันก็คล้ายคลึงกับช่วงขาลงของวัฎจักรหนี้ระยะสั้น ที่เป็นช่วงเศรษฐกิจถดถอย (Recession) นั่นเอง แต่ส่วนที่แตกต่างกันคือ การลดอัตราดอกเบี้ยไม่สามารถช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ได้
ในช่วงเศรษฐกิจถดถอย หรือช่วงขาลงของวัฎจักรหนี้ระยะสั้น ธนาคารกลางสามารถปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อช่วยกระตุ้นการกู้ยืมเงินและการใช้จ่าย เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้กลับมาขยายตัวอีกครั้ง (สามารถอ่านทวนแบบเต็มๆ ในตอนที่ 1)
แต่ในช่วงขาลงของวัฎจักรหนี้ระยะยาวนั้น ธนาคารได้ปรับดอกเบี้ยให้ต่ำ จนเท่ากับ 0% ไปแล้ว ก็ยังไม่ทำให้การกู้ยืมกลับมาดีอีกครั้ง แถมปัญหาเกิดขึ้นคือการมีหนี้มากเกินไป ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้แต่อย่างใด
แต่ในช่วงขาลงของวัฎจักรหนี้ระยะยาวนั้น ธนาคารได้ปรับดอกเบี้ยให้ต่ำ จนเท่ากับ 0% ไปแล้ว ก็ยังไม่ทำให้การกู้ยืมกลับมาดีอีกครั้ง แถมปัญหาเกิดขึ้นคือการมีหนี้มากเกินไป ซึ่งการลดอัตราดอกเบี้ยไม่ได้ช่วยแก้ปัญหานี้แต่อย่างใด
สหรัฐอเมริกาก็เคยปรับลดอัตราดอกเบี้ยจนเหลือ 0% ไปแล้วในช่วงปี 1930 และอีกครั้งก็คือช่วงวิกฤตเศรษฐกิจที่ผ่านมานี้ในปี 2008
ถ้าลดดอกเบี้ยไม่ช่วย แล้วจะแก้ไขสถานการณ์ที่ย่ำแย่แบบนี้ยังไงดีล่ะ ?
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น