วันอังคารที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2557

เข้าใจเศรษฐกิจแบบภาษาคน ตอนที่ 1

“เศรษฐกิจ” เป็นเรื่องที่เข้าใจยาก แต่คงไม่ยากเกินไปหากได้อ่านบทความนี่ เศรษฐกิจดี เศรษฐกิจไม่ดี มีลักษณะยังไง? แล้วเราจะคาดการณ์ว่าเศรษฐกิจจะมีทิศทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลงได้ยังไง?  ไม่ยากอย่างที่คิดครับ
Ray Dalio นักธุรกิจชาวอเมริกัน ได้จัดทำบทความเพื่ออธิบายและให้ความเข้าใจถึงรูปแบบของเศรษฐกิจ โดยเปรียบเศรษฐกิจว่าเหมือนกับเครื่องจักร หลายคนไม่เข้าใจถึงการทำงานของมัน ทำให้เกิดความยากลำบากทางเศรษฐกิจโดยไม่จำเป็น (อย่างเช่นวิกฤตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี 2008)
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพียงมุมมองจากนักธุรกิจและนักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งเท่านั้น ไม่มีอะไรที่ถูกต้อง 100% เสมอไป ขอให้ผู้อ่านทุกคนประเมินคุณค่าและความน่าเชื่อถือของมันด้วยตัวคุณเอง
ผมเองไม่ใช่นักเศรษฐศาสตร์ มีความรู้เรื่องการเงินอยู่บ้าง แต่เมื่อได้ศึกษารูปแบบเศรษฐกิจนี้ ทำให้เกิดความเข้าใจสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น เข้าใจการกระทำของธนาคารกลางของทั้งสหรัฐฯ, ไทย และอีกหลายๆ ประเทศ อีกทั้งยังช่วยให้สามารถประเมินได้ว่า สิ่งที่รัฐบาลและธนาคารกลางประเทศต่างๆ กำลังกระทำอยู่นั้น จะส่งผลดีผลเสียอย่างไรกับเศรษฐกิจของประเทศ
1. เศรษฐกิจเกิดขึ้นจากการซื้อขาย
การซื้อขาย (Transactions) คือหน่วยที่เล็กที่สุดของเศรษฐกิจ เกิดขึ้นจากผู้ซื้อที่ให้ เงิน (หรือเครดิต) กับผู้ขายที่ให้สินค้า, บริการ หรือสินทรัพย์ทางการเงิน เป็นการแลกเปลี่ยน ทุกๆ ครั้งที่เราซื้อของ เราสร้าง Transactions ขึ้นมา
เมื่อรวมการซื้อขายสินค้าชนิดเดียวกันเป็นจำนวนมากๆ เราจะเรียกว่า ตลาด เช่น ตลาดรถ, ตลาดทอง หรือตลาดหุ้น เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็นระดับคนธรรมดา, ระดับธุรกิจ, ธนาคาร หรือรัฐบาล ก็มีการทำ Transactions ในลักษณะที่ว่าไว้ Transactions ทำให้เกิดการใช้จ่าย และการใช้จ่ายนี่แหละเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้เศรษฐกิจดำเนินไป


2. รู้จักกับ “เครดิต”

เครดิตจะเกิดขึ้นได้ต้องประกอบด้วยผู้ให้ยืมและผู้ยืม ผู้ให้ยืมต้องการให้เงินที่มีอยู่นั้นงอกเงยมากขึ้น ส่วนผู้ยืมนั้นต้องการซื้อสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถจ่ายได้ เช่น บ้าน, รถหรือต้องการจะลงทุนเริ่มต้นทำธุรกิจ เป็นต้น การมีเครดิตขึ้น ทำให้ทั้งผู้ให้ยืมและผู้ยืมสามารถบรรลุสิ่งที่ตัวเองต้องการได้ ผู้ยืมจะต้องจ่ายเงินต้นที่ยืมไปบวกกับดอกเบี้ย ฉะนั้นเมื่ออัตราดอกเบี้ยสูง ผู้ยืมจะมีจำนวนน้อยลง (เพราะมันแพง) ในขณะที่หากอัตราดอกเบี้ยต่ำ ผู้ยืมจะมีจำนวนมากขึ้น (ก็เพราะมันถูก) อัตราดอกเบี้ยที่ว่านี้ถูกควบคุมโดยธนาคารกลาง (FED หรือเฟดที่เราได้ยินในข่าวบ่อยๆ ก็คือธนาคารกลางสหรัฐฯ ย่อมาจาก Federal Reserve นั่นเอง)
เครดิตนั้นซับซ้อนนิดหน่อย คือ เมื่อมีการสร้างเครดิตขึ้น เครดิตจะเป็นหนี้สินให้กับผู้ยืมต้องรับผิดชอบ เครดิตเรียกได้ว่าเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดของเศรษฐกิจ และเป็นส่วนที่คนเข้าใจน้อยที่สุด เราจะอธิบายในข้อถัดๆ ไป
3. ยิ่งขยันยิ่งดี
ถ้าหากเราลืมเรื่องเครดิตไปซะก่อน ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้อที่ 1 ว่า การซื้อขายหรือการใช้จ่ายเป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ (Spending drives the economy.) เพราะว่าการใช้จ่ายของคนหนึ่ง คือรายรับของอีกคนหนึ่ง เงินทุกบาทที่เราใช้อยู่นั้น มันจะกลายเป็นรายรับของคนอื่น ในทางกลับกันก็เช่นเดียวกัน เงินที่เราได้รับมา ก็มาจากการใช้จ่ายของคนอื่นๆ
ดังนั้น การเจริญเติบโตของเศรษฐกิจจะมาจากการใช้จ่ายที่มากขึ้น การเพิ่มการใช้จ่ายให้มากขึ้นได้นั้น จะต้องเพิ่มรายรับให้ได้ ซึ่งทางเดียวที่จะเพิ่มได้ (บนโลกที่ไม่มีเครดิต) คือ ทำงานให้หนักขึ้น ดังนั้นแรงขับเศรษฐกิจแรกที่เป็นพื้นฐานเลย มีชื่อว่า Productivity Growth (แปลเป็นไทยแล้วยิ่งงงคือ การขยายตัวของผลิตภาพการผลิต) ขอแปลง่ายๆ ว่าเป็นกราฟความขยัน คนที่ขยันมากกราฟจะชันมากหมายถึงมีรายรับเยอะ ส่วนกราฟชันน้อยก็มีรายรับน้อย เมื่อเทียบเวลากับทำงานที่เท่ากัน






Productivity Growth เป็นสิ่งที่เห็นผลในระยะยาว ความผันผวนทางเศรษฐกิจส่วนใหญ่ไม่ได้เกิดจากแรงนี้ แต่อย่างไรก็ตามสำหรับบุคคลทั่วไป สิ่งนี้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการใช้ชีวิต เราควรมุ่งมั่นที่จะเป็นที่คนที่อยู่บนกราฟเส้นบนสุด (เส้นที่ชันที่สุด) ไม่ใช่กราฟเส้นล่างๆ
4. วัฎจักรหนี้ระยะสั้น (Short-term Debt Cycle)
จากที่อธิบายไว้ในข้อ 2 เกิดมีเครดิต ทำให้เกิดหนี้ขึ้นมา และหนี้เนี่ยแหละที่ทำให้เกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจ การสร้างเครดิตทำให้เราใช้จ่ายมากกว่าจำนวนเงินที่เราหาได้ แต่ก็ทำให้เราใช้จ่ายได้น้อยกว่าจำนวนเงินที่เราหาได้เมื่อเราจำเป็นต้องจ่ายหนี้คืน พฤติกรรมแบบนี้ทำให้เกิดวัฎจักรของเศรษฐกิจขึ้น






ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจถึงวัฎจักรมากขึ้น ดังนี้สมมติว่าคุณมีรายได้ 100,000 บาท ส่งผลให้คุณมีเครดิตพอที่จะยืมเงินได้ 10,000 บาท ดังนั้นรายจ่ายรวมของคุณจะเท่ากับ 110,000 บาทและจากข้อที่ 1 รายจ่ายของคุณนั้น เป็นรายได้ของอีกคนหนึ่งจะทำให้คนถัดไปมีรายได้ 110,000 บาท ส่งผลให้เขามีเครดิตพอที่จะยืมเงินได้ 11,000 บาท ดังนั้นรายจ่ายรวมของเขาจะเท่ากับ 121,000 บาทและรายจ่ายของเขานั้น เป็นรายได้ของอีกคนหนึ่งจะทำให้คนถัดไปมีรายได้ 121,000 บาท ส่งผลให้ . . . . . . เป็นแบบนี้ต่อเนื่องกับคนอื่นไปเรื่อยๆ ทำให้ทุกคนมีรายจ่ายมากขึ้น นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงขาขึ้นของวัฎจักร
เมื่อมีการใช้จ่ายเงินและเครดิตที่มากขึ้น ส่งผลให้ราคาของทุกสิ่งทุกอย่างนั้นเพิ่มขึ้นตาม ในระยะเริ่มแรกจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจขยายตัว (Expansion) จนกระทั่งเศรษฐกิจขยายตัวมากเกินไป เราเรียกภาวะนี้ว่า ภาวะเงินเฟ้อ (Inflation)
จากข้อ 2 เราได้เคยพูดถึงบทบาทของธนาคารกลางในการควบคุมอัตราดอกเบี้ยไปแล้ว ในภาวะเงินเฟ้อแบบนี้ ธนาคารกลางจะเพิ่มอัตราดอกเบี้ยเพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้น เช่น ปัญหาต้นทุนการผลิตสูง แรงงานเรียกร้องให้ขึ้นเงินเดือน เป็นต้น
การเพิ่มอัตราดอกเบี้ยจะทำให้คนกู้ยืมเงินกันน้อยลง (เพราะมันแพง) เมื่อจำนวนเงินที่มาจากการกู้ยืมเงินน้อยลง บวกกับหนี้ที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้น ส่งผลให้คนทั่วไปมีเงินเหลือไปใช้จ่ายน้อยลง
และเหมือนกันกับตัวอย่างที่ยกไว้ก่อนหน้านี้ ว่ารายจ่ายของคนหนึ่งเป็นรายได้ของอีกคนหนึ่ง เมื่อรายจ่ายน้อยลง จะส่งผลให้รายรับน้อยลงตาม กระทบกับคนต่อๆ ไปเรื่อยๆ ถือเป็นช่วงขาลงของวัฎจักร
นอกจากนั้น เมื่อการใช้จ่ายเงินและเครดิตน้อยลง ส่งผลให้ราคาของทุกสิ่งทุกอย่างลดลง เราเรียกภาวะนี้ว่า ภาวะเงินฝืด (Deflation) เศรษฐกิจอยู่ในช่วงถดถอย (Recession)
เมื่อภาวะเงินฝืดหนักขึ้นจนอาจเกิดปัญหา ธนาคารกลางจะลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ทำให้มีการใช้จ่ายและการกู้ยืมเงินมากขึ้นอีกครั้ง เศรษฐกิจก็จะกลับไปอยู่ในช่วงขยายตัว เศรษฐกิจเป็นแบบที่ว่าไว้นี้สลับไปสลับมาเป็นวัฎจักร ซึ่งวัฎจักรนี้มีกินระยะเวลาประมาณ 5-8 ปี ทั้งหมดที่อธิบายนี้เรียกว่า วัฎจักรหนี้ระยะสั้น (Short-term Debt Cycle) เป็นแรงขับที่ 2 ของเศรษฐกิจต่อมาจาก Productivity Growth และเป็นแรงที่สร้างความผันผวนให้กับเศรษฐกิจ





เราอาจสรุปได้ว่า ในช่วงที่เครดิตสามารถสร้างได้ง่าย แปลว่าเรากำลังอยู่ในช่วงขยายตัวของเศรษฐกิจ ในขณะที่เมื่อเครดิตสร้างขึ้นได้ยาก หมายถึงว่าเรากำลังอยู่ในช่วงเศรษฐกิจถดถอยนั่นเอง โดยวัฎจักรนี้ถูกควบคุมโดยธนาคารกลางเป็นหลักสะท้อนออกมาผ่านอัตราดอกเบี้ย
อันนี้เป็นเพียงตอนที่ 1 เท่านั้น รออ่านภาคต่อซึ่งจะอธิบายถึงที่มาที่ไปของวิกฤตเศรษฐกิจและวิธีการป้องกันตัวจากเหตุการณ์กัน
หวังว่าหลังจากอ่านบทความนี้จบจะช่วยให้เข้าใจการทำงานของเศรษฐกิจ อย่างน้อยก็สามารถอ่านข่าวเศรษฐกิจรู้เรื่องมากขึ้น


อ่านต่อตอนที่ 2 คลิก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น